ชาบี เอร์นานเดซ กองกลางชาวสเปนวัย 37 ปี ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะแขวนรองเท้ากับ อัล ซาด ทีมดังจากกาตาร์ หลังจบซีซั่นนี้ เนื่องจากยอมรับว่าสภาพร่างกายของตนไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว พร้อมเตรียมเข้ารับการอบรมโค้ช เพื่อหวนคืนคุมทีมชาติในอนาคต อดีตจอมทัพบาร์เซโลน่า ชาบี เอร์นานเดซ วัย 37 ปี หลังย้ายมาเล่นให้ อัล ซาด ในปี 2015 ก่อนที่จะพาต้นสังกดของตนคว้าแชมป์ กาตาร์ คัพ ได้สำเร็จ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแชมป์แรกหลังจากย้ายมาเล่นให้ที่นี่ ประเทศเลิกเล่นล้วงหน้าอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วหลังจบซีซั่น โดยหลังจากเลิกเล่นเขาวางแผนที่จะทำงานเป็นเฮดโค้ชต่อทันที “ผมรู้สึกโชคดีมากที่แทบไม่ต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บ และผมคิดว่าเส้นทางอาชีพฟุตบอลของผมมันมาถึงเวลาที่สมควรแล้ว มันเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับชีวิตนักฟุตบอล โอกาสที่ผมได้รับที่กาตาร์มากมายเหลือเกิน ผมรู้สึกเริ่มที่จะเหนื่อยขึ้น และต้องการเวลาพักมากยิ่งขึ้น นี่เป็นปีสุดท้ายในฐานะนักฟุตบอลของผม และผมมีความตั้งที่จะเข้าอบรมโค้ชภายในปีหน้า และเป็นโค้ชต่อไปในอนาคต” ชาบี คือหนึ่งในแข้งตำนานระดับโลก เขาเติบโตมากับสโมสรบาร์เซโลน่า และกลายเป็นตำนานตลอดกาลที่นั้น ด้วยการคว้าแชมป์ลา ลีกา ถึง 8 สมัย แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 4 สมัย ส่วนผลงานระดับชาติเขาลงรับใช้ทีมชาติสเปนไปถึง 133 นัด ระหว่างปี 2000-2014 ก่อนที่จะคว้าแชมป์ยูโร 2 สมัยติดต่อกัน พ่วงด้วยรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ที่สำคัญยังคว้าแชมป์โลกได้อีกในปี 2010 ด้วย
0 Comments
หลังจากที่ สเปเชียล วัน โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ออกมาบ่นว่าบอร์ดบริหารของทีมตนนั้นให้งบประมาณน้อยและล่าช้าในการดำเนินการเสริมทัพนักเตะ ส่งผลให้ตนไม่ได้นักเตะอย่างที่ต้องการ บวกกับแหล่งข่าวหลายสำนักเริ่มรู้สึกว่า ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสคนนี้เริ่มไม่มีความสุขถิ่นโอลเทฟฟอร์ดเสียแล้ว เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปเริ่มให้ความสนใจและต้องการติดต่อไปร่วมงาน โดยเฉพาะทีมเงินถุงเงินถังอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังกับดีลนี้มากที่สุด และคาดหวังในกุนซือปีศาจแดงโยกย้ายมาแดนน้ำหอม เราจึงวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่จะทำให้ มูรินโญ่ โยกซบ ปารีส กันดีกว่า 1.เปแอสเช มีเงินให้ใช้สอยชนิดที่มหาศาล นับตั้งแต่ปี 2012 ที่กลุ่มทุนชาวกาตาร์เดินทางมายังแดนน้ำหอม เพื่อเทคโอเวอร์ทีม ทางบอร์ดบริการได้พยายามค้นหาผู้จัดการทีมฝีมือเยี่ยมมาโดยตลอด แต่ว่าครั้งหนึ่งจะเคยเลือกใช้งาน คาร์โล อันเชลอตติ แต่ก็ดูเหมือนว่า อันเชลอตติ ยังคงไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่พอต่อพกวเขา รวมถึง โลร็องต์ บล็องก์ ที่ถูกมองว่าเป็นเพียงตัวเลือกสำรอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาบิ๊กบอสระดับผู้บริหารของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มองว่า โชเซ่ มูรินโญ่ คือ บุคคลที่เขาต้องการเพียงหนึ่งเดียวของลิสรายชื่อทั้งหมด เพื่อหวังจะให้กุนซือคนนี้พาทีมของตนยิ่งใหญ่ครองยุโรป จำเป็นต้องล่อด้วยทุกอย่างเพื่อดึงมาร่วมงานให้ได้ 2.มีนักเตะฝีเท้าดีให้ใช้งานเต็มที่ อย่างที่ทราบกันดีแม้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาภายในการคุมทีมของ โชเช่ มูรินโญ่ ที่หมดไปแล้วกว่า 310 ล้านปอนด์ ก็ยังคงไม่แข็งแกร่งเท่ากับปารีส แซงต์-แชร์กแมง เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแบบตัวต่อตัวแล้ว ดังนั้นการที่ ปารีส ต้องการไม่ใช่นักเตะชั้นนำหรือนักเตะที่เก่งอีกต่อไป แต่พวกเขาต้องการแท็กติกแบบเกมต่อเกมเท่านั้น เพราะขุมกำลังที่พวกเขามี ก็ดีพอที่จะชนกับทุกทีมทั่วยุโรปแล้ว ดังนั้น มูรินโญ่ คือ คำตอบของโจทย์นี้ 3.มีอาวุธในแนวรุกที่ดุดัน หลังจากที่ต้องไล่ตามหลัง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างหนักตั้งเปิดฤดูกาลจนมาถึงตอนนี้ และดูเหมือน แมนซิตี้ ของ กวาร์ดิโอล่า ยังคงแรงไม่หยุด หลังถล่มประตูใส่คู่แข่งไปแล้วถึง 50 ประตู รวมทั้งในลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ส่วน ปารีส กดไปแล้วกว่า 56 ประตู รวมทั้งสองรายการ ดังนั้นหากไปคุม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เขาจะมีแนวรุกที่เด็ดขาดและเฉียบคมมากที่สุด เพราะจะสามารถใช้งานได้ทั้ง เนย์มาร์, เอดินสัน คาวานี่, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ หากจะบอกว่าดีกว่าแนวรุกปัจจุบันที่มีอยู่ในแมยเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ประกอบไปด้วย โรเมลู ลูกากู, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คงจะไม่ผิดนัก 4.ไม่จำเป็นต้องใช้แข้งเยาวชนจากอะคาเดมี่ประจำทีม เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีนโยบายที่หนักแน่นของเรื่องการส่งนักเตะเยาวชนจากอะคาเดมี่ลงเล่นในทีมชุดใหญ่เสมอ จากตลอด 80 ปีที่ผ่านมา และต้องมีหลายๆ นัดที่จะต้องมีนักเตะจากอะคาเดมี่ของทีมอย่างน้อยที่สุด 1 คน ต้องมีชื่ออยู่ในทีม ผิดกับ ปารีส ที่ต้องการแค่จ่ายเงินช็อปเอาแค่ นักเตะระดับโลกชั้นนำจากทั่วทวีปยุโรป มาร่วมทีมมากกว่าที่จะมาเน้นกับระบบอะเคเดมี่หรือเยาวชนต้องตนเอง 5.ไร้คู่แข่งในลีกพร้อมให้ความสำคัญกับเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างเต็มที่ สำหรับ “เปแอสเช” แทบจะผูกขาดแชมป์ลีก เอิง เลยก็ว่าได้ แม้จะระยะหลังจะมี ทีมอย่าง โมนาโก สอดแทรกขึ้นมาเป็นแชมป์อยู่บ้างก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เคยหลุดออกจากอันดับ 2 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าทุกฤดูกาลพวกเขาแทบจะการันตีสิทธิ์เข้าไปแล้ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่มแน่นอนอยู่แล้ว สำหรับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาลที่ 2017/18 ที่ลงแข่งขันกันไปแล้วกว่า 12 นัด ทำให้มีเหตุการณ์สำคัญมากมายเกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ อาทิเช่น การโดนเด้งจากเก้าอี้ของ สลาเวน บิลิช กุนซือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด รวมถึงการที่เอฟเวอร์ตัน ปลด โรนัลด์ คูมัน พ้นจากตำแหน่ง ก่อนที่เลสเตอร์ ซิตี้ ประกาศแยกทางกับ เคร็ก เช็คสเปียร์ แต่น่าเสียดายอย่างมากแม้ บิลิช จะเป็นกุนซือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่พาทีมเดินหน้าคว้าแต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่ฤดูกาล 1992/93 โดยทำได้เฉลี่ยถึง 1.33 คะแนนต่อเกม ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าผู้จัดการทีมคนไหนที่ฝากผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้บ้าง อันดับ 1 อันโตนิโอ คอนเต้ 2.35 คะแนนต่อเกม – เชลซี (ชนะ 37 เสมอ 4 แพ้ 8) อันดับ 2 โจเซป กวาร์ดิโอล่า 2.22 คะแนนต่อเกม – แมน ซิตี้ (ชนะ 33 เสมอ 10 แพ้ 6) อันดับ 3 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 2.16 คะแนนต่อเกม – แมน ยูไนเต็ด (ชนะ 528 เสมอ 168 แพ้ 114) อันดับ 4 อาร์แซน เวนเกอร์ 1.98 คะแนนต่อเกม – อาร์เซน่อล (ชนะ 463 เสมอ 194 แพ้ 144) อันดับ 5 เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ 1.94 คะแนนต่อเกม - ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (ชนะ 71 เสมอ 30 แพ้ 24) อันดับ 6 ราฟาเอล เบนิเตซ 1.90 คะแนนต่อเกม - ลิเวอร์พูล (ชนะ 126 เสมอ 55 แพ้ 47) อันดับ 7 เควิน คีแกน 1.85 คะแนนต่อเกม – นิวคาสเซิ่ล (ชนะ 78 เสมอ 30 แพ้ 35) อันดับ 8 โรนัลด์ คูมัน 1.62 คะแนนต่อเกม – เซาธ์แฮมป์ตัน (ชนะ 36 เสมอ 15 แพ้ 25) อันดับ 9 เคลาดิโอ รานิเอรี่ 1.62 คะแนนต่อเกม – เลสเตอร์ (ชนะ 28 เสมอ 18 แพ้ 17) อันดับ 10 เดวิด มอยส์ 1.50 คะแนนต่อเกม – เอฟเวอร์ตัน (ชนะ 173 เสมอ 123 แพ้ 131) |
Details
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. ArchivesCategories |